เวทีมธ.แนะทุกพรรคการเมืองชูนโยบาย
สร้างสังคมเสมอภาค-กระจายอำนาจ-ลดผูกขาดธุรกิจ
มธ.เปิดเวทีวิชาการ ‘ตั้งโจทย์-ตอบอนาคต’ เสนอพรรคการเมือง “แก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” วาระประเทศไทยหลังเลือกตั้ง 2562 เศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์พบสารพัดปัญหา ทั้งทรัพยากร การศึกษา
สาธารณสุข เตือนรายได้เฉลี่ยคนไทยแตกต่างถึง 17 เท่า ด้านองค์การ “อ็อกแฟม” เปิดข้อมูลความมั่งคั่งของโลก 2 ใน 3 มาจาก “มรดก-ธุรกิจผูกขาด” นักวิชาการจุฬาฯ เสนอรื้อโครงสร้างเศรษฐกิจแนะ 4 ประเด็นให้พรรคการเมืองต้องตอบ
กรุงเทพฯ วันที่ 28 พฤศจิกายน 2561
- มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
(มธ.) จัดงานสัมมนา THAMMASAT RESOLUTION TALK ตั้งโจทย์ –
ตอบอนาคต
วาระการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ครั้งที่ 1 หัวข้อ “การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ” ท่ามกลางความสนใจของสื่อมวลชนและผู้เข้าร่วมกว่า
100 คน ณ ห้อง 101
คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ศาสตราจารย์ ดร.อารยะ ปรีชาเมตตา
ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยความเหลื่อมล้ำและนโยบายสังคม (CRISP) คณะเศรษฐศาสตร์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เปิดเผยว่า ประเทศไทยมีความเหลื่อมล้ำหลากหลายมิติ
ทั้งเชิงรายได้ การถือครองที่ดิน การศึกษา สาธารณสุขและการแพทย์ ดังนั้น
การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมที่ยั่งยืน สร้างความทั่วถึงและเป็นธรรม
นับเป็นโจทย์ท้าทายเพราะเกี่ยวข้องกับ 1. การเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่เป็นกติกาในการจัดสรรทรัพยากรทั้งในรูปของระบบภาษีและการใช้จ่ายภาครัฐ
2. การสร้างระบบสวัสดิการสังคม
ช่วยให้ประชาชนทุกกลุ่มได้รับคุณภาพชีวิตที่ดีและมีโอกาสทัดเทียมโดยคำนึงถึงความยั่งยืนทางการคลัง
และ 3. การพัฒนาโครงสร้างและสถาบันทางการเมือง
ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงสู่สังคมที่มีความเสมอภาค
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.ดวงมณี เลาวกุล คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า
นับตั้งแต่พ.ศ.
2531-2558
หรือตลอด 30 ปีที่ผ่านมา
ประเทศไทยแทบไม่มีความเปลี่ยนแปลงเรื่องความเหลื่อมล้ำด้านรายได้เท่าใด
โดยข้อมูลจาก สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ปี 2558 ระบุว่ากลุ่มประชากรรายได้สูงสุดแตกต่างกับกลุ่มที่มีรายได้ต่ำสุดอยู่ถึง 17 เท่า
สำหรับความเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา ข้อมูลปี 2559 พบว่าการเข้าถึงการศึกษาภาคบังคับของคนไทยอยู่ในสัดส่วนที่สูง
แต่ยังมีเด็กวัยเรียนบางส่วนที่หลุดออกจากระบบและแนวโน้มอัตราการเข้าเรียนลดลงตามระดับการศึกษาที่สูงขึ้น
โดยอัตราเข้าเรียนระดับปริญญาตรีของกทม.มีสัดส่วนสูงกว่าภาคอื่นๆ อยู่ที่ร้อยละ 40.4 ขณะที่ภาคใต้อยู่ที่ร้อยละ 19.2 ด้านสาธารณสุข
ด้านความเหลื่อมล้ำของระบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
มีการยกเว้นและลดหย่อนภาษีค่อนข้างมาก เช่นภาษีกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) กระจุกตัวอยู่ที่กลุ่มผู้มีเงินได้สูงร้อยละ 82 ของมูลค่าลดหย่อนทั้งหมด หากรัฐต้องการดึงคนเข้าสู่ตลาดทุนจริงๆ
อาจให้เฉพาะผู้ที่มีเงินได้สุทธิไม่เกินปีละ 5 แสนบาท
ขณะที่การถือครองที่ดินมีเอกสารสิทธิ 1 ใน 4 ของประเทศอยู่ในมือของกลุ่มคนเพียงร้อยละ 1 เท่านั้น
“มาตรการรัฐที่ช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้มากคือสวัสดิการสังคมต่างๆ
เช่น การศึกษา สาธารณสุข การประกันสังคม การอุดหนุนคนที่มีรายได้น้อย
การอุดหนุนผู้สูงอายุ
ที่สำคัญคือต้องทำฐานข้อมูลกลุ่มคนจนเพื่อจัดสรรงบประมาณได้อย่างมีประสิทธิภาพและตรงจุด”
นายจักรชัย โฉมทองดี องค์การอ็อกแฟม (Oxfam) ประเทศไทย กล่าวถึงสถิติความเหลื่อมล้ำในระดับสากลว่า
ข้อมูลของ
บริษัทหลักทรัพย์เครดิตสวิส พบว่า 42 คนแรกที่อยู่ในจุดสูงสุดของเศรษฐกิจโลก มั่งคั่งเท่ากับคน 3,700 ล้านคนที่อยู่ในส่วนล่างของสังคม และจากข้อมูลปี 2523 ถึงปี 2559 พบว่าเงิน 1
บาท
ในระบบเศรษฐกิจ จะกระจายในกลุ่มคนรวยซึ่งมีเพียงร้อยละ 1 ของประชากรทั้งหมดในอัตรา 27 สตางค์
ส่วนคนกลุ่มที่จนซึ่งมีอยู่มากกว่าร้อยละ 50 จะได้รับผลตอบแทนมาแบ่งกันเพียง 12 สตางค์
รายงานยังพบว่า 1 ใน 3 ของความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในโลก
มาจากการได้รับมรดก โดยจากนี้ไปอีก 20 ปี คนที่รวยที่สุด 500 คน จะส่งผ่านมรดกมูลค่า 2.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐให้กับลูกหลาน
ขณะที่อีก 1 ใน 3 มาจากธุรกิจที่ผูกขาดหรือการยึดโยงกับสิทธิพิเศษที่ได้รับจากรัฐ
“ตัวเลขความเหลื่อมล้ำนี้สะท้อนว่า 2 ใน 3 ของความมั่งคั่งที่เกิดขึ้นในโลก
ไม่ได้มาจากการทำงานหนักหรือนวัตกรรมใดๆ นั่นเท่ากับว่าแม้คุณจะทำงานหนักเพียงใดก็คงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้” นายจักรชัย กล่าว
ข้อเสนอการแก้ปัญหาของไทย นายจักรชัย กล่าวว่า
ทุกพรรคการเมือง
ควรประกาศจุดยืนให้ชัดเจนว่าจะมีนโยบายอย่างไรกับการพัฒนาสาธารณสุข
ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า สิทธิแรงงาน ระบบการศึกษาและความเท่าเทียมด้านรายได้ของเพศชายและหญิง
รองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย ตรีรัตน์ คณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มองปัจจัยที่ทำให้ความเหลื่อมล้ำอยู่คง
ทนในประเทศไทยคืออำนาจทางการเมืองและอำนาจทางเศรษฐกิจ
ซึ่งตลอด 50 ปีพบว่าอำนาจทางการเมืองเปลี่ยนแปลงน้อยมาก
โดยที่ผ่านมาประเทศไทยมีการกระจายอำนาจทำให้ทรัพยากรที่เคยรวมศูนย์ถูกกระจายออกไป
แต่หลังจากมีการรัฐประหาร ทรัพยากรเหล่านั้นถูกดึงกลับมารวมศูนย์อีกครั้ง
ขณะที่อำนาจทางเศรษฐกิจ
ผลตอบแทนจากทรัพย์สินมีสัดส่วนสูงกว่าผลตอบแทนด้านแรงงาน ดังนั้นหากไม่มีการปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจที่ผูกขาดโดยมหาเศรษฐีที่พึ่งพิงอำนาจทางการเมือง
ก็คงไม่สามารถแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำได้
“ถ้าพ่อแม่รายได้ต่ำ
มีโอกาสทางเศรษฐกิจน้อย
ย่อมเป็นเรื่องยากที่จะทำให้ลูกเปลี่ยนชนชั้นทางเศรษฐกิจขึ้นมาได้
เรื่องนี้เป็นการส่งต่อคือเมื่อพ่อแม่จนลูกก็จะจน
เราจึงต้องสร้างกลไกขึ้นมาปกป้องให้เด็กคนหนึ่งที่ไม่ว่าจะเกิดมาจากครอบครัวที่มีฐานะใดต้องมีโอกาสเปลี่ยนฐานะของตัวเองได้
สิ่งสำคัญและอนาคตของประเทศขึ้นอยู่กับคุณภาพการศึกษา” รองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย กล่าว
สำหรับสิ่งที่ต้องการฟังจากพรรคการเมืองคือ 1. จะแก้ไขเรื่องการผูกขาดทางการเมืองและการกระจายอำนาจอย่างไร 2.จะ
แก้ไขเรื่องการผูกขาดทางเศรษฐกิจอย่างไร 3. นโยบายเรื่องการจัดการที่ดินและฐานทรัพยากรให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ 4.การจัดบริการและสวัสดิการสาธารณะ
แก้ไขเรื่องการผูกขาดทางเศรษฐกิจอย่างไร 3. นโยบายเรื่องการจัดการที่ดินและฐานทรัพยากรให้เกษตรกรและผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงได้ 4.การจัดบริการและสวัสดิการสาธารณะ
“รัฐบาลปัจจุบันไม่สนใจและไม่เชื่อมั่นเรื่องการกระจายอำนาจ
ดูเหมือนว่าจะทำให้ถอยหลังด้วยซ้ำ เพราะมองว่าท้องถิ่นไม่โปร่งใส
แต่ในฐานะที่ทำงานเรื่องคอรัปชั่นมา
ยืนยันได้ว่าทั้งราชการและท้องถิ่นไม่ได้มีความแตกต่างกัน” รองศาสตราจารย์ ดร.นวลน้อย กล่าว
อนึ่ง งานสัมมนา
THAMMASAT RESOLUTION TALK ตั้งโจทย์ –
ตอบอนาคต
วาระการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง
เป็นชุดงานสัมมนาที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จัดขึ้นรวมทั้งสิ้น 3 ครั้ง ประกอบด้วย 1. การแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำ วันที่ 26 พฤศจิกายน 2561 ที่ผ่านมา 2.
การกระจายอำนาจและการปฏิรูประบบราชการ
วันที่ 13 ธันวาคม 2561
และ 3. การแก้ไขปัญหาคอรัปชั่น วันที่ 21 มกราคม 2562
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น